สุขภาพ

กินฟ้าทะลายโจรแค่ไหนถึงจะได้ผล

กินฟ้าทะลายโจรแค่ไหนถึงจะได้ผล สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ที่เกิดขึ้นมาในประเทศไทยของเรา และทั่วโลกจากข้อมูลของสาธารณสุข  ยอดผู้ติดเชื้อก็ยังคงมีจำนวนสูงขึ้นอยู่ และในแต่ละวันยอดสะสมของผู้ติดเชื้อนั้นก็มากมายมหาศาล  แต่ทว่าเขาก็เริ่มที่จะไม่ได้พูดถึงมันเท่าไหร่แล้ว

แต่ก็ยังคงมีประกาศออกมาบ้างอย่างไรก็ตามสิ่งที่เรากำลังจะพาทุกคนไปทำความรู้จักในวันนี้  มันจะเกี่ยวข้องกับการรักษา covid-19 อย่างไรเราไปทำความรู้เกี่ยวกับมันทำกันเลยดีกว่า

เรื่องราวที่จะไม่พูดถึงก็คงจะเป็นไปไม่ได้  เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับยาสมุนไพรไทย  ที่มีชื่อว่า ฟ้าทะลายโจรฟ้า  จากข้อมูลทางการแพทย์แผนไทย มีผลงานวิจัยและข้อค้นพบ

จากหลายสถาบัน พบว่า ฟ้าทะลายโจร  มีสรรพคุณมากมาย ในการยับยั้งภาวะติดเชื้อ covid-19  แต่มันก็มีข้อควรระวังในการใช้ด้วยเช่นเดียวกัน  ซึ่งสิ่งที่เรากำลังพูดถึงต่อไปนี้  เป็นเรื่องราวที่มีชื่อว่า  กินยาฟ้าทะลายโจรแค่ไหน  ถึงจะได้ผล แน่นอนว่าคำถามดังกล่าวนี้  ก็เกิดขึ้นมาในหัวของใครหลายคนไม่น้อยเลย 

ถ้าอย่างนั้นเราไปทำความรู้จักเกี่ยวกับมันพร้อมกันเลยดีกว่า   กินฟ้าทะลายโจรแค่ไหนถึงจะได้ผล  ปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ใน   ฟ้าทะลายโจร  ที่ใช้การรักษาโรคหวัดทั่วไป  จะต้องใช้ประมาณ 60 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งในการผลิตยา        ฟ้าทะลายโจร  กำหนดค่ามาตรฐานว่าจะต้องมีสาร แอนโดรกราโฟไลด์ ไม่ต่ำกว่า 1%

  แปลว่าหากยา        ฟ้าทะลายโจร แบบแคปซูลขนาด 350 ถึง 400 mg  ผู้ป่วย ที่เป็นไข้หวัดทั่วไป ก็ต้องกินวันละ 16 เม็ด คือกิน 4 มื้อ มื้อละ 4 เม็ด ส่วนโควิดในไทย ซึ่งเป็นกลุ่มโรคไข้หวัดที่มีอาการรุนแรงกว่า พบว่า จะต้องใช้ปริมาณสาร แอนโดรกราโฟไลด์ ในฟ้าทะลายโจรเป็น 3 เท่ าของการรักษาโรคทั่วไป หรือประมาณ 180 มิลลิกรัมต่อวัน

คือ หากในยาฟ้าทะลายโจร มีสาย แอนโดรกราโฟไลด์ 1% ตามมาตรฐานขั้นต่ำ ผู้ป่วยก็ต้องกินยา   ฟ้าทะลายโจรวันละ 48 เม็ด นอกจากคำถามที่ว่ากินฟ้าทะลายโจรเท่าไหร่ ถึงจะได้ผลแล้ว ก็ยังมีคำถามอีกมากมายที่ใครหลายคนตั้งข้อสงสัย เกี่ยวกับการใช้ฟ้าทะลายโจร และสิ่งที่หลายคนตั้งคำถามขึ้นมา

ก็คือ  ฟ้าทะลายโจรนั้น สามารถรักษาหรือป้องกัน covid 19 ได้จริงหรือเปล่า ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้ก็คงจะต้องลองศึกษาค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมดู  แต่ทว่ามันก็ได้มีการออกมาพูดถึงข้อมูลดังกล่าวนี้แล้วว่า สามารถรักษาได้จริงหรือไม่ แต่เราก็ยังไม่ได้พูดถึงถ้าคุณอยากที่จะรู้ก็ลองไปทำความรู้จักและค้นคว้าดูผ่านอินเตอร์เน็ต

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    เครื่องช่วยฟังคนหูหนวก

สุขภาพ

สเต็ก…ภัยร้ายที่แอบอยู่กับอาหารจานโปรด

วันนี้ผู้เขียนอยากจะบอกความจริง จริงๆแล้วสเต็กอาจเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายคน สเต็กร้อนๆเสิร์ฟพร้อมสลัดผักและมันฝรั่งทอด

หน้าตาอาหารบนจานแสนจะน่ารับประทานส่วนใหญ่สเต็กจะทำมาจากเนื้อวัวชิ้นโตหรือไม่ก็เนื้อหมู เนื้อไก่ระยะหลังก็จะอาจจะมีสเต็กปลาเข้ามาอย่างแพร่หลาย สเต็กที่มีความอร่อยสูงราคาค่อนข้างจะแพง ที่จริงแล้วสเต็กไม่ใช่วัฒนธรรมการกินของชาวไทยหรือของภูมิภาคเอเชีย มันมาไกลมาจากยุโรป อเมริกา คนไทยส่วนมากจะนิยมบริโภคอาหารต่างวัฒนธรรม

และในที่สุดสเต็กของชาวตะวันตกก็เข้ามาแทนน้ำพริกปลาทูบ้านเราอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าเพราะเมืองไทยเป็นเป็นประเทศที่เสรีทำได้ทุกเรื่องกินได้ทุกที่ทุกวัฒนธรรมเข้ากันได้หมดเมื่อเข้ามาในเมืองไทยแล้วจะสามารถกลมกลืนทุกสิ่งทุกอย่างประเด็นมันอยู่ที่ว่าคุณรู้หรือไม่ คุณได้รับอะไรจากสเต็กนอกจากความอร่อย แน่นอนที่สุดไม่ใช่เรื่องดีแน่ตามมาดูกันการกินสเต็กต้องกินยังไงถึงจะปลอดภัยสเต็กมีหลายระดับ

  • ระดับที่1 เรียกว่าแรร์ ( rare )

ระดับนี้เนื้อสเต็กของคุณมีเนื้อดันนอกเป็นสีน้ำตาลอมเทาและเนื้อส่วนกลางยังคงเป็นสีแดงและสีชมพูซึ่งความสุขดับนี้ถือว่าเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพมากที่สุด เพราะเนื้อที่ยังไม่สุกอาจมีพยาธิและเชื้อโรคอยู่มากมายซึ่งเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วก็จะเกิดโรคพยาธิโรคเกี่ยวกับระบบการย่อยและทางเดินอาหารเพราะระบบการย่อยของร่างกายคนเราไม่สามารถย่อยอาหารดิบได้ แน่นอนสเต็กถูกรับประทานเข้าไปเน่าอยู่ข้างในจนกว่าร่างกายจะขับถ่ายออกมา 

  • ระดับที่2 เรียกว่ามีเดียมแรร์ ( medium rare  )

ดับนี้เนื้อสเต็กของคุณเนื้อด้านนอกจะมีสีน้ำตาลอมเทาและเนื้อส่วนกลางจะเป็นสีแดงอมเทาเรียกว่าสุกขึ้นมาอีกนิดแต่ยังเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพคุณอยู่ดี โดยรวมแล้วยังคงเป็นชิ้นเนื้อที่ไม่สุกและยังคงเสี่ยงต่อพยาธิและเชื้อโรคที่มีอยู่ในส่วนเนื้อสีแดงตรงกลาง

  • ระดับที่3 เรียกว่ามีเดียม ( medium )

ระดับนี้เนื้อสเต็กของคุณด้านในสุดจะเป็นสีชมพูและเนื้อสวนนอกจะเริ่มสุก แต่ก็ยังสุกไม่หมดเพราะยังคงมีส่วนที่เป็นสีชมพูเรื่อเรื่ออยู่ความปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิมแต่ไม่ 100% เพราะฉะนั้นระดับนี้ก็มีควรที่จะเสี่ยงเหมือนกัน 

ระดับที่ 4 มีเดียมเวลล์ ( medium well )

เนื้อสเต็กจะเป็นสีน้ำตาลอมเทา โดยรวมแล้วเนื้อจะสุกทั้งหมด แต่ก็ยังไม่หมด เพราะยังมีส่วนที่เป็นสีชมพูเรื่อๆอยู่

ระดับที่ 5 เรียกว่าเวลดันคราวนี้มาถึงระดับสุดท้ายระดับนี้เนื้อสะเต๊ะของครูจะสุขทั่วถึงทั้งหมดและไม่มีส่วนที่เป็นสีชมพูระดับนี้อาจทำให้เนื้อสุกทุกส่วนของชิ้นเนื้อถือว่าระดับนี้ปลอดภัยต่อร่างกายคุณที่สุดแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงไม่ปลอดภัยทั้งหมด 100% อยู่ดีเพราะขึ้นชื่อว่าอาหารย่างส่วนที่ไหม้เกรียมก็ยังสามารถก่อให้เกิดโรคร้ายได้เช่นเดียวกันแม้เนื้อสเต็กของคุณจะสุขแล้ว

ฉะนั้นเมื่อคุณอยากจะรับประทานสเต็กแล้ว ควรจะรับประทานสเต็กอันดับ5 มากกว่า เพราะระดับนี้ถือว่าสุกหมดฉะนั้นแล้วขอแนะนำให้คุณเลือกสเต็กระดับ5มากกว่าอื่นๆ เพราะการรับประทานคุณอาจจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งลำไส้และโรคพยาธิน้อยมากๆแต่มันก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะฉะนั้นแล้วถ้าคุณเป็นคนที่ชอบทานสเต๊กควรจะเว้นระยะการทานไม่ควรทานบ่อยเกินไปเพื่อหลีกเลี่ยงเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บที่ตามมา หวังเป็นอย่างยิ่งยิ่งว่าข้อมูลที่ผู้เขียนได้นำเสนอในวันนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย  เครื่องช่วยฟังคนหูหนวก

สุขภาพ

อาหารแก้อาการปวดหัวไม่เกรนได้

อาหารแก้อาการปวดหัวไม่เกรนได้ หากพูดถึงเรื่องของอาการปวดหัว เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในอาการที่ไม่ค่อยรุนแรงมากนัก แต่ก็ยังถือว่าเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้บ่อยจนทำให้คนส่วนใหญ่นั้นเกิดความเคยชินกันไปแล้ว

เนื่องจากอาการปวดหัวเป็นหนึ่งในอาการที่อาจเกิดขึ้นได้หลายปัจจัย จึงทำให้คนส่วนใหญ่ในสมัยปัจจุบันนี้มีความกังวลเกี่ยวกับอาการปวดหัว เนื่องจากเป็นอาการที่เกิดขึ้นบ่อย แค่เพียงทานยาอาการก็จะบรรเทาลงได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ก็ยังเป็นปัญหาที่ทำให้หลายคนหนักใจเป็นอย่างมาก เพราะบางคนไม่ว่าจะทานยาเยอะแค่ไหนก็ไม่สามารถบรรเทาอาการลงได้

แต่รู้หรือไม่ว่า ในสมัยปัจจุบัน อาการปวดหัวนั้นหากปล่อยไว้จะยิ่งทำให้เราเสี่ยงต่อการเป็นโรคไมเกรนได้ เพราะเป็นโรคที่เรียกได้ว่าเป็นโรคฮิตสำหรับวัยทำงานกันเป็นอย่างมาก เนื่องจาก เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากความเครียดที่เราสะสม คือส่งผลให้เรามีอาการปวดหัวมากขึ้นจนส่งผลให้มีอาการไมเกรนนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าอาการนี้จะเป็นอาการที่เราพบได้บ่อยและเกิดขึ้นได้บ่อย แต่รู้หรือไม่ว่า ปัจจุบันนี้ อาการปวดหัวไมเกรนนั้น สามารถรักษาได้หรือบรรเทาอาการได้ด้วยการรับประทานอาหาร ซึ่งสมัยนี้ก็มีอาหารที่มีส่วนช่วยในการลดอาการปวดหัวไมเกรนได้

ดังนั้นวันนี้หัวข้อจะมาแนะนำอาหารที่รับรองได้เลยว่าหากทานเป็นประจำนั้นจะสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้อย่างแน่นอน จะมีอาหารประเภทไหนกันบ้างนั้นไปดูกันเลย

 

  • ข้าวกล้อง

สำหรับใครที่มีอาการปวดหัวไมเกรนอยู่บ่อยๆจนกลายเป็นโรคประจำตัวไปแล้ว ขอบอกเลยว่าการที่เราเปลี่ยนจากการทานข้าวแบบข้าวมาเป็นการทานข้าวกล่อง จะยิ่งดีต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เนื่องจากข้าวกล่องจะมีวิตามินบีที่สูงมากๆ โดยจะมีส่วนช่วยในการรักษาระบบประสาท และ  เครื่องช่วยฟังคนหูหนวก   รักษาความสมดุลของสมองได้ อีกทั้งยังอุดมไปด้วยสารอาหารอื่นๆอย่างแร่ธาตุ แม็กนีเซียม กรดโฟแลต ธาตุเหล็ก แมงกานิส เป็นต้น โดยสารอาหารประเภทนี้จะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย และมีส่วนช่วยในการลดอาการปวดหัวได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

  • น้ำขิง

แน่นอนว่าขิง เป็นหนึ่งในสมุนไพรที่คนส่วนใหญ่นั้นมักจะนำมาประกอบอาหารและนำมาเป็นยารักษาโรคหรืออาการต่างๆ เนื่องจากสรรพคุณ ของขิงนั้นจะมีฤทธิ์ร้อน ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการรักษาอาการต่างๆได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการเป็นหวัด แต่รู้ไหมว่า ขิงนั้น ก็ถือเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่สามารถช่วยลดอาการหรือช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้ เพราะเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน จึงมีส่วนช่วยในการลดอาการปวดได้ ดังนั้น หากใครที่มีอาการปวดหัวไมเกรนอยู่บ่อยๆ การสกัดน้ำขิงดื่มเป็นประจำ รับรองได้เลยว่า จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้อย่างแน่นอน

  • ผักโขม

เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผักที่คนส่วนใหญ่นั้นชอบทานกันเป็นอย่างมาก ซึ่งรู้หรือไม่ว่าผักโขมนั้นเป็นหนึ่งในผักที่อุดมไปด้วยโปรตีนและ แคลเซียมที่สูงมากๆ ซึ่งนอกจากจะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกายได้แล้ว ยังสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ และระบบสมองได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการลดคอเลสเตอรอลที่เป็นต้นเหตุของอาการปวดหัวได้อีกด้วย ดังนั้น ผักโขมจึงถือเป็นหนึ่งในผักที่มีส่วนช่วยในการลดอาการปวดหัวไมเกรนได้